วันจันทร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

Learning log 3 (ในห้องเรียน)

                                                                      Learning log 3
(ในห้องเรียน)
            จากการศึกษาในห้องเรียนเกี่ยวกับเรื่องกาล (Tense) เป็นรูปแบบประโยคที่แสดงให้เห็นว่าเหตุการณ์หรือการกระทำนั้นเกิดขึ้นเมื่อใด ซึ่งเรื่อง Tense เป็นเรื่องสำคัญ ถ้าเราใช้ Tense ไม่ถูก เราจะไม่สามารถสื่อสารกับคนต่างชาติได้หรืออาจจะสื่อสารได้ไม่ดีนัก และผลอีกประการหนึ่งหากเราใช้ Tenseไม่ถูกต้องคือ ประโยคเราจะมีความหมายที่ผิดไม่ถูกต้องตามเวลาที่เหตุการณ์นั้นได้เกิดขึ้น ซึ่งการเรียนในครั้งนี้ทำให้ดิฉันได้ทบทวนความรู้เกี่ยวกับ Tense ได้เข้าใจความหมายของ Tense สามารถอธิบายความหมายของ Tense และสามารถนำ Tense ไปใช้ในชีวิตประจำได้อย่างถูกต้อง Tenseมีทั้งหมด12 Tenseที่เราจะต้องศึกษาและใช้มันให้ถูกต้องตามเวลาของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
            Simple Present Tense มีโครงสร้างประโยคดังนี้ Subject + v.1 (Tense เติม s/es เมื่อประธานเป็นเอกพจน์) Tense นี้ใช้พูดถึงกาลปัจจุบัน สภาพที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน (general truth) การกระทำที่เราปฏิบัติเป็นประจำ (routine or habit)  และสิ่งที่เป็นความจริง (fact) ตัวอย่างที่1 Grandma calls her friend every day. จากประโยคนี้ที่เราใช้ Tense นี้เพราะเป็นการกระทำที่ปฏิบัติเป็นประจำ สังเกตได้จากคำว่า every day ตัวอย่างที่2 The world is round. ประโยคนี้ใช้ Tenseนี้เพราะเป็นสิ่งที่เป็นความจริง Tenseนี้จะถูกใช้บ่อยที่สุดกว่า Tenseอื่นๆเพราะเป็น Tenseที่ใช้ในชีวิตประจำวัน Tenseนี้ใช้ในเหตุการณ์ปัจจุบันแต่ไม่ได้พูดถึงเหตุการณ์ที่กำลังกระทำอยู่ในปัจจุบัน หากต้องการพูดถึงเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขั้นในปัจจุบันแล้วนั้นต้องใช้ Continuous Present Tense

                Continuous Present Tense มีโครงสร้างประโยคดังนี้ Subject + is,am,are + v.ing  Tenseนี้ใช้เมื่อการกระทำนั้นกำลังดำเนินการอยู่ เช่น I am studying right now. ฉันกำลังเรียนตอนนี้ I am watching TV. ฉันกำลังดูโทรทัศน์ นอกจากจะใช้สำหรับบอกเหตุการณ์ที่กำลังดำเนินอยู่ในปัจจุบันแล้วนั้นยังสามารถบอกเหตุการณ์ในอนาคตได้อีกด้วย แต่ต้องเป็นเหตุการณ์ที่ต้องทำแน่นอนในอนาคต เช่น I am going to Japan tomorrow. ฉันจะไปที่ประเทศญี่ปุ่นพรุ่งนี้ (ในขณะที่พูดนั้นเราเก็บกระเป๋าเรียบร้อย เพื่อเตรียมตัวไปญี่ปุ่นพรุ่งนี้) สำหรับTenseนี้จะมีการเติม ing ที่ infinitive verb (v.1) กริยาโดยทั่วไปเติม ing ท้ายคำได้ทันที แต่มีข้อยกเว้นดังนี้ 1.คำพยางค์เดียวที่มีสระตัวเดียวและมีตัวสะกดตัวเดียว ต้องเพิ่มตัวสะกดอีก1ตัว แล้วจึงเติม ing เช่น run กลายเป็น running 2.คำที่ลงท้ายeด้วย และไม่ออกเสียงe ให้ตัดeออกแล้วเติมing เช่น make กลายเป็น making 3.คำที่ลงท้ายด้วยie ให้เปลี่ยนieเป็นyแล้วเติมing เช่น tie กลายเป็น tying
                Perfect Present Tense มีโครงสร้างดังนี้ Subject + have/has + v.3 Tenseใช้พูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตแล้วดำเนินเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน แต่เราไม่สนใจว่าเกิดขึ้นเมื่อไรในอดีต ดังนั้นจึงไม่มีการระบุเวลาที่แน่นอน เช่น ไม่มีการใช้คำว่า yesterday , last week , when I was young เป็นต้น แต่ถ้าจะระบุก็ใช้คำว่า once, recently, ever, never, several times, before เป็นต้น ตัวอย่างประโยค 1. I have had a cold for two weeks. ฉันเป็นไข้มา2อาทิตย์แล้ว(ตอนนี้ก็ยังไม่หาย) 2. Suda has love sweets since she was a school girl. สุดาชอบขนมมาตั้งแต่เป็นเด็กนักเรียน (เดี๋ยวนี้ก็ยังชอบอยู่)
            Perfect Continuous Present Tense มีโครงสร้างประโยคดังนี้ Subject + have + been + v.ing Tenseนี้ใช้พูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต ดำเนินการมาถึงปัจจุบัน และอาจจะต่อเนื่องไปจนถึงอนาคต ความแตกต่างระหว่าง Continuous Present Tense กับ Perfect Continuous Present Tense เช่น Beyonce is singing.บียอนเซ่กำลังร้องเพลง (บียอนเซ่กำลังร้องเพลงอยู่ในขณะที่ผู้พูดได้พูด) ประโยคนี้เป็นประโยค Continuous Present Tense สำหรับประโยค Perfect Continuous Present Tense คือ Beyonce has been singing for 4 hours. บียอนเซ่ร้องเพลงมา4ชั่วโมงแล้ว (บียอนเซ่ร้องเพลงมาตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบันเป็นเวลา4ชั่วโมงแล้ว) ต่อไปจะพูดถึงความแตกต่างระหว่าง Perfect Present Tense กับ Perfect Continuous Present Tense ตัวอย่างประโยค Perfect Present Tense คือ He has already written his report. เขาเขียนรายงานแล้ว(แสดงถึงสิ่งที่เพิ่งทำเสร็จสิ้นไปไม่นานในขณะที่พูด) ตัวอย่างประโยค Perfect Continuous Present Tense คือ He has been writing the report since 7 p.m. เขาเขียนรายงานมาตั้งแต่1ทุ่ม (การกระทำนั้นอาจจะเสร็จสิ้นหรือยังเสร็จสิ้นก็ได้)
            Simple Past Tense มีโครงสร้างประโยคดังนี้ Subject + v.2 หลักการใช้ Simple Past Tense ใช้กับการกระทำที่จบสิ้นไปแล้วในอดีต Tenseนี้จะใช้เน้นกริยานั้นๆว่าได้กระทำเสร็จไปแล้วเมื่อเวลาใดเวลาหนึ่งที่ผ่านมา เช่น He played tennis yesterday. เขาเล่นเทนนิสเมื่อวานนี้ Her baby cried last night. ลูกของหล่อนร้องไห้เมื่อคืน นอกจากนี้Tenseนี้ยังใช้กับกิจวัตรประจำวันและสิ่งที่ทำสม่ำเสมอในอดีต เช่น I always watched the cartoon when I was a child.ฉันมักจะดูการ์ตูนเสมอเมื่อฉันตอนที่ฉันยังเป็นเด็ก (การดูการ์ตูนเกิดขึ้นอย่างสม่ำเสมอเมื่อตอนที่ฉันเป็นเด็ก แต่ในปัจจุบันเหตุการณ์นั้นไม่ได้เกิดขึ้นแล้ว) คำที่มักจะพบใน Simple Past Tense ได้แก่when, yesterday, last night, last week, last month เป็นต้น
            Continuous Past Tense  มีโครงสร้างประโยคดังนี้ Subject + was/were + v.ing หลักการใช้ Tenseนี้ 1.ใช้บอกการกระทำที่กำลังกระทำอยู่ในอดีต เช่น I was doing homework at 10 p.m. last night. ฉันกำลังทำการบ้านตอน4ทุ่มเมื่อคืน 2.ใช้ร่วมกับ Simple Past Tense เพื่อแสดงถึงเหตุการณ์ในอดีตที่กำลังดำเนินการอยู่แล้วมีสิ่งหนึ่งเข้ามาขัดจังหวะ สิ่งที่กำลังดำเนินการอยู่ใช้ Continuous Past Tense  ส่วนสิ่งที่เข้ามาขัดจังหวะใช้ Simple Past Tense เช่น His mobile phone rang while we were seeing movie yesterday. โทรศัพท์มือถือของเขาดังในขณะที่พวกเรากำลังดูหนังเมื่อวาน สำหรับเหตุการณ์สุดท้ายที่ใช้ Tenseนี้คือใช้แสดงการกระทำที่ทำคู่ขนานกันไปในอดีต คือถ้ามีการกระทำ2การกระทำนั้น เช่น I was studying English while you were studying Japanese. ฉันกำลังเรียนภาษาอังกฤษในขณะที่เธอกำลังเรียนภาษาอังกฤษในขณะที่เธอกำลังเรียนภาษาญี่ปุ่น
            Perfect Past Tense มีโครงสร้างดังนี้ Subject + had + v.3 เช่น We had met the popular singer when I called you. พวกเราได้พบกับนักร้องดังมาด้วยล่ะ เมื่อตอนที่ฉันโทรไปหาคุณ หลังจากดูตัวอย่างแล้ว เราก็จะเห็นว่า Perfect Past Tense มีคำจำกัดความง่ายๆคือการพูดถึงสิ่งที่เกิดก่อนอดีต หลักการใช้ Perfect Past Tense ใช้บอกการกระทำที่เกิดขึ้นและจบลงก่อนที่เหตุการณ์หนึ่งในอดีตจะเกิดขึ้น ใช้อธิบายลำดับก่อนหลังของเหตุการณ์2เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต Perfect Past Tense ใช้กับการกระทำที่เกิดขึ้นและจบลงก่อน Simple Past Tense เช่น I had drunk some milk before the school bus came.ฉันดื่มนมไปก่อนที่รถโรงเรียนจะมาถึง I was not hungry because I had eaten some sandwiches. ฉันไม่หิวเพราะว่าฉันได้กินแซนด์วิชมาบ้างแล้ว ข้อแตกต่างระหว่าง Perfect Present Tense กับ Perfect Past Tense ก็คือช่วงเวลา เพราะ Perfect Past Tenseจะใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและจบลงไปก่อนที่อีกเหตุการณ์หนึ่งในอดีต แต่ Perfect Present Tenseจะใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตและดำเนินการต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน
            Perfect Continuous Past Tense มีโครงสร้างดังนี้ Subject + had + been + v.ing หลักการใช้ Tenseนี้คือใช้แสดงการกระทำที่เกินขึ้นและจบลงก่อนอีกการกระทำหนึ่งในอดีต กล่าวคือเป็นอดีตของอดีตอีกที แต่เป็นอดีตที่กินระยะเวลาของการกระทำต่อเนื่องออยู่ช่วงเวลาหนึ่งไป เช่น I had been travelling in Japan for 2 weeks before I flew to Australia.ฉันไปเที่ยวประเทศญี่ปุ่นเป็นเวลา2สัปดาห์ก่อนที่จะบินไปประเทศออสเตรเลีย และอีกเหตุการณ์หนึ่งที่ใช้บอกสาเหตุของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต โดยสาเหตุจะใช้Tenseนี้คือใช้บอกสาเหตุของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต โดยสาเหตุจะใช้Tenseนี้ และผลลัพธ์จะใช้ Simple Past Tense เช่น Ann was angry. She had been waiting for Mark for 3 hours. แอนโกรธ หล่อนรอมาร์คมาเป็นเวลา3ชั่วโมง
            Simple Future Tense มีโครงสร้างประโยคดังนี้ Subject + will+ v.1 หลักการใช้ Tenseนี้คือใช้กับเหตุการณ์ที่ไม่ได้วางแผนล่วงหน้า กล่าวคือการที่อยู่ๆก็นึกจะทำหรือจำเป็นต้องทำขึ้นมา เช่น Hold on, I will transfer the line to Mr.Jason. ถือสายสักครู่นะคะ ดิฉันจะโอนสายไปให้คุณเจสัน นอกจากนี้จะใช้กับการคาดคะเน หรือการทำนายสิ่งที่น่าจะเกิดขึ้น โดยประธานของประโยคไม่สามารถควบคุมเหตุการณ์นั้นได้ เช่น It will rain9 tomorrow.ฝนคงจะตกในวันพรุ่งนี้ นอกจากนี้ใช้กับการให้สัญญา เพื่อบอกว่าจะทำอะไรในอนาคตเช่น I promise I will pay attention to my English class. ฉันสัญญาว่าฉันจะตั้งใจเรียนภาษาอังกฤษ สุดท้ายจะใช้กับการบอกแผนการในอนาคตที่แน่นอนหรือวางแผนไว้แล้ว จะไม่ใช้willแต่จะใช้ to be going to + v.infinitive without to แทน เช่น Kathie is going to study a master’s degree in June.เคธี่จะเรียนปริญญาโทในเดือนมิถุนายน
                Continuous Future Tense จะมีโครงสร้างประโยคดังนี้ Subject + will + be + v.ing จะมีหลักการใช้ดังนี้ ประการแรกคือใช้กับการกระทำที่จะกำลังกระทำอยู่ในอนาคต เช่น His mother will be doing yoga tomorrow afternoon.แม่เขาจะกำลังเล่นโยคะอยู่ในตอนบ่ายวันพรุ่งนี้ ประการต่อมาใช้ร่วมกับ Simple Present Tense เช่น Continuous Future Tense มีโครงสร้างประโยคดังนี้ Subject + will + be + v.ing จะมีหลักการใช้ดังนี้ ประการแรกคือใช้กับการกระทำที่จะกำลังกระทำอยู่ในอนาคต เช่น His mother will be doing yoga tomorrow afternoon. แม่เขาจะกำลังเล่นโยคะอยู่ในตอนบ่ายวันพรุ่งนี้ ประการต่อมาคือใช้ร่วมกับ Simple Present Tense โดยเหตุการณ์ในอนาคตที่กำลังจะดำเนินการอยู่ใช้ Continuous Future Tense ส่วนสิ่งที่เข้ามาขัดจังหวะใช้เป็น Simple Present Tense เช่น He will be calling Jane when his girlfriend arrives. เขาคงจะกำลักโทรไปหาเจนเมื่อแฟนเขามาถึง และประการสุดท้ายคือ ใช้กับการกระทำคู่ขนานในอนาคต ซึ่งมีเหตุการณ์อยู่2เหตุการณ์ที่ดำเนินไปพร้อมๆกันในอนาคต เหตุการณ์หนึ่งใช้ Continuous Future Tense ส่วนอีกเหตุการณ์หนึ่งใช้ Continuous Present Tense เช่น I will be sleeping while you are watching the football match tonight. ฉันกำลังจะนอนหลับอยู่ในขณะที่คุณจะกำลังดูการแข่งขันฟุตบอลคืนนี้
            Perfect Future Tense มีโครงสร้างประโยคดังต่อไปนี้ Subject + will + have + v.3 มีหลักการใช้ดังนี้ ใช้บอกการกระทำที่เกิดขึ้นในอนาคตที่เกิดก่อน Simple Future Tense แต่เหตุการณ์ที่เป็น Simple Future Tense จะใช้เป็น Simple Present Tense แทน เช่น Peter will have taken a medicine before he gose to bed tonight. ปีเตอร์จะกินยาก่อนจะเข้านอนคืนนี้ Kathie will have finished this project by the time she has a vacation next month. เคธี่จะต้องทำโครงการนี้ให้เสร็จก่อนที่หล่อนจะหยุดพักในเดือนหน้า เราอาจจะสรุปง่ายๆก็คือ Perfect Future Tense คือการกระทำที่เกิดก่อนอีกการกระทำหนึ่งในอนาคต หรือจะเรียกว่าเป็นอดีตของอนาคต
            Perfect Continuous Future Tenseมีโครงสร้างประโยคดังต่อไปนี้ Subject + will + have + been + v.ing มีหลักการใช้ดังนี้ ประการแรกคือใช้กับการกระทำที่จะดำเนินอยู่ช่วงระยะเวลาหนึ่งในอนาคต ซึ่งจะเกิดก่อน Simple Future Tense แต่เหตุการณ์ที่เป็น Simple Future Tense จะใช้ Simple Present Tense แทน เช่น Next week, I will have been travelling in Japan before the second semester starts. สัปดาห์หน้าฉันจะเที่ยวอยู่ในญี่ปุ่นก่อนที่ภาคเรียนที่2จะเปิด และประการสุดท้ายที่ใช้ Tense นี้คือ ใช้บอกสาเหตุของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอนาคต โดยประโยคที่ลอกสาเหตุใช้Tense นี้ และประโยคที่บอกผลลัพธ์ใช้ Simple Future Tense เช่น He will be sleepy. He will have been watching a football match all night next week.เขาอาจจะง่วง (เพราะเมื่อถึงตอนนั้น) เขาคงดูการแข่งขันฟุตบอลทั้งคืนในสัปดาห์หน้า
            จากการที่ได้เรียนรู้ในห้องเรียนครั้งนี้ทำให้ดิฉันได้เห็นถึงความสำคัญของTense ถึงแม้ว่าTenseในภาษาอังกฤษจะมีหลากหลายTenseและมีหลักการใช้ที่แตกต่างกัน แต่เราจำเป็นที่จะต้องศึกษาให้เข้าใจอย่างลึกซึ้ง เพื่อที่จะได้นำไปใช้ได้อย่างถูกต้อง หากเราไม่สามารถใช้Tenseได้อย่างถูกต้องจะทำให้เราไม่สามารถสร้างประโยคหรือบอกเล่าประโยคตามสถานการณ์ได้ เพราะTenseถือเป็นปัจจัยหลักในการศึกษาภาษาอังกฤษ Tenseจะบอกถึงช่วงเวลาต่างๆที่เกิดขึ้นอาจจะเป็นอดีต ปัจจุบัน หรืออนาคต ถึงแม้ว่าในภาษาไทยจะไม่มีการใช้Tenseอย่างในภาษาอังกฤษแต่เราจะต้องพยายามศึกษา และทำความเข้าใจ และที่สำคัญกว่านั้นคือจะต้องสามารถนำไปใช้ได้ ไม่ว่าจะเป็นในการเรียนการสอนหรือในการทำงาน หากเราศึกษาทำความเข้าใจ และฝึกฝนบ่อยๆ เราก็จะเชี่ยวชาญในการใช้Tenseอย่างแน่นอน

            

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น